วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2565

เรียนรู้จากความผิดพลาดของชีวิต

เสียใจในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
ด้วยข้อจำกัด ที่มี  ทำดีที่สุดแล้วนะ
ขอโทษและเสียใจจริง ๆ นะ

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2565

รีวิวชีวิตและผลงานในรอบ 22 ปีที่ผ่านมา

วันนี้นั่งทบทวนสิ่งที่ผ่านเข้ามาชีวิตการงาน เพื่อสรุปงานที่เราคิดว่าเด่นสักหน่อยดีกว่า  
(ปล. ในทุกความสำเร็จ จะมีการสนับสนุน จากพี่ๆ ที่น่ารักที่อยู่เบื้องหลังนะครับ  ต้องขออภัยหากไม่ได้เอ่ยนามทุกท่านนะครับ)


ช่วงที่ 1. ช่วงปี 2543-2550  เป็นช่วงชีวิตการทำงานที่กรมปศุสัตว์ หน้างานในตอนนั้นเรียกได้ว่าเป็น RA  (Regulatory Affair)  ผลงานที่ภาคภูมิใจสำคัญคือ ใบอนุญาตผลิตแผนปัจจุบันและใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยา โดยการประสานและดำเนินการต่าง ๆ จนทำให้กรมปศุสัตว์สามารถขอใบอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบัน และดำเนินการขึ้นทะเบียนตำรับยาได้ 4 ทะเบียนตำรับ คือ FMD 3 ทะเบียน และ ND 1 ทะเบียน  เหตุผลในความภูมิใจคือ เป็นสิ่งที่ม่สามารถดำเนินการได้มาก่อนหน้าที่จะมีเรา  และเป็นมหากาพย์มายาวนานมาก  และหลังจากย้ายหน้าที่ออกมาแล้วก็ยังเป็นตำนานอยู่อย่างนั้น
(เบื้องหลังการทำงานเป็นผลงานจากพี่ผกาซึ่งทั้งสวยและเก่งมาก )

ช่วงที่ 2. ช่วงปี 2550-2558 เป็นช่วงชีวิตการทำงานที่กองควบคุมยา หน้างานในตอนนั้นเรียกได้ว่าเป็น Regulator in Marketing Authorization ผลงานที่ภาคภูมิใจมี 2 ชิ้นด้วยกัน คือ การผลักดันการอนุญาตยาเพื่อใช้ในสถานการณ์ระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ (EUA) ซึ่งเป็นการผลิตและวิจัยในประเทศ และเป็นต้นแบบในการนำมาใช้ในการขึ้นทะเบียนตำรับยาในภาวะการระบาดของ COVID-19 ต่อมา  และผลงานอีกชิ้นคือ การนำ eCTD มาใช้ในการขึ้นทะเบียนตำรับยา ซึ่งแม้ว่าผลงานชิ้นนี้จะไม่สามารถขับเคลื่อนได้เต็มที่เท่าไหร่ แต่ก็สามารถวางแนวทางการดำเนินการด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการขึ้นทะเบียนตำรับยาให้สอดคล้องตามแนวทางของอารยประเทศ

ช่วงที่ 3  ช่วงปี 2558 - 2564  เป็นช่วงชีวิตที่ทำงานด้านข้อมูล มารและการวิเคราะห์ข้อมูล  หน้างานเป็นสาย Data Scientist ที่เน้นด้าน  Pharmaceutical Data Science   ผลงานที่ภาคภูมิใจ คือ  SAC (Surveillance of antibiotic Consumption) การนำข้อมูลจากรายงานประจำปีด้านยามาวิเคราะห์และสรุปเป็นรายงานการบริโภคยาต้าน ซึ่งผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานที่เริ่่มมีทีมงานเข้ามาช่วยพัฒนา  ซึ่งนอกจากตัวเราเองที่เป็นกำลังสำคัญ ยังมีพี่ ๆ น้อง ๆ ที่ เข้ามาร่วมกันพัฒนารายงานนี้กันอีกด้วย  ถือเป็นผลงานของทีมอย่างแท้จริง
    อีกอย่างที่ภูมิใจคือ ปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานที่เกี่ยวกับรายงานประจำปีเป็น electronic เต็มรูปแบบอีกด้วย


ช่วงที่ 4 เริ่มในปี 2564- ปัจจุบัน (2565)  คาดว่าจะถึงปี 2567  เป็นช่วงชีวิตที่เหนื่อยมาก หน้างานเปลี่ยนเป็นสาย project management ที่ต้องขับเคลื่อนโครงการมาตรฐานข้อมูล และตกตะกอนความรู้เพื่อ ใช้ในการเรียน Ph.D. อีกด้วย  ความภูมิใจก็ คือ การตัดสินใจเรียน ปริญญาเอก แบบนอกเวลา และต้องทำให้การงานและการเรียนนั้นสามารถไปด้วยกันได้   และเรียนโดยใช้ทุนตัวเอง (เอาบ้านไปกู้มาเรียน)  

---------------------------------------------------------------------------------

นอกจากความภูมิใจในชิ้นงานสำคัญ ๆ ข้างต้นแล้ว ยังมีความภูมิใจที่ได้สร้างองค์ความรู้ในระหว่างทางได้แก่
1. การนำหลักการของ Regulatory Science มาใช้ในการพัฒนางานในหน่วยงานซึ่งช่วงนั้นไม่ค่อยมีคนรู้จักหรือพูดถึงมากนัก  จนช่วงหลังก็มีความแพร่หลายมากขึ้นจนเป็นคำศัพท์ที่หลายคนใช้และกล่าวถึงมากขึ้น 

2. พัฒนาหลักสูตรสำหรับการอบรมและการฝึกปฏิบัติงานด้านทะเบียนตำรับยา ให้มีรูปแบบเป็นทางการ และสามารถใช้ผลงานนั้นเพื่อสอบความรู้ความชำนาญได้อีกด้วย

3.เป็นคนแรกและริเริ่ม IDMP ในประเทศไทย โดยได้นำเสนอให้หลาย ๆ คน รู้จักและเห็นความสำคัญของมาตรฐานนี้

4.เป็นคนแรก ๆ ที่พยายามนำ Data Science มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน และพยายามทำให้การทำงานในหน่วยงานมีความเป็นวิชาการมากขึ้นตามแนวทางของ Data Science


-------------------------------------------------------------
อ้อ เรายังมีความภูมิใจในการทำงาน อีกนิด ที่ เป็นการทำงานกับทีมงาน และน่าประทับใจ ดังนี้

1. การปรับปรุงฐานข้อมูลอายุยากับน้องจอย จารุวรรณ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ สามารถตรวจสอบข้อมูลได้จากระบบ E-logistics ไม่ต้องไปเปิดแฟ้มกระดาษ ที่เยินมากกกกก

2. เป็นฟันเฟืองตัวเล็ก ๆ ในการช่วยกันทำงานกับ ทีมงานยาชีว ในการขับเคลื่อนการทำให้หน่วยงานผ่าน WHO Prequalified of Vaccine  ในสมัยที่เป็น 6 functions

3. เปลี่ยนผ่านการพัฒนาระบบสารสนเทศของหน่วยงาน ในรูปแบบที่เปลี่ยน Vender ผู้พัฒนาโปรแกรม กลางอากาศ (เปลี่ยนคนละเจ้า) ไม่เหลืออะไรให้ศึกษา นอกจาก Data ใน ฐานข้อมูล  และ ER diagram ซึ่งถ้าไม่ได้ทีมพัฒนาระบบที่ช่วยกัน คงไม่มีทางสำเร็จ (แม้ว่าจะขลุกขลักบ้าง)

4. เป็นทีมงานที่วิเคราะห์ข้อมูล SAC  (อันนี้กล่าวไปแล้วข้างต้น)



------------------------------------------------------
จากที่ได้นั่งสรุปผลงานที่คิดว่าควรจะพูดถึงนั้น ไม่ใช่ว่าจะอวดหรืออะไรหรอกนะครับ  แต่อยากบันทึกไว้เป็นอักษรและทบทวนตนเอง เพื่อกำหนดทิศทางการทำงานของตัวเอง ต่อไป 

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2564

๋๋Journey of my PhD Student Ep1

 

วันนี้ (25/9/2564) เป็นวันแรก ของการสอบ  Block แรก ของ เทอม 1  ปี 1

ตื่นเช้ามา  ก็ ทำตัวให้ สดใส  อาบน้ำ สระผม ขัดสีฉวีวรรณ เพื่อให้ร่างการสดชื่น  จากนั้น ก็ เดินลงไปซื้อ อาหาร เพื่อมาบำรุง ให้สมองปลอดโปร่ง  อาหารก็ตามภาพเนอะ อิอิ  แบบว่ากลัวสมองไม่แล่น 55+++


พอถึงเวลา 10.00 น. ตรง ก็ได้เวลาที่ อ. แนน  ส่งข้อสอบมาให้  ทันทีที่ได้ข้อสอบ ก็เปิดดูว่า มีข้อสอบกี่ข้อ ซึ่งนับแล้ว มีแค่ 3 ข้อ เท่านั้น  กับเวลา 7 ชม.  อืมมม  เราก็คิดในใจว่าน่าจะทัน นะ

สิ่งแรกที่ทำ คือ ต้อง ดูว่า ข้อสอบ ถาม อะไร   ซึ่งยอมรับนะ ว่าระดับความเข้าใจคำถาม เรียงตามลำดับคือ 1>3>2   

ไอ้ที่ว่าไม่เข้าใจคำถามคือ คิดในใจว่าจะเอาอะไรไปตอบหว่า  แต่ ทำไงได้ the show must write on  ,มันต้องมีอะไรเขียนลงไปในกระดาษคำตอบดิ

เวลาผ่านไป  เลยเที่ยง นิดหน่อย ก็ต้องบอกตัวเองว่า ต้องหิวแล้ว  เลยไปหาไรกิน ไปด้วย ทำข้อสอบไปด้วย    เงยหน้าอีกที บ่ายโมงแระ ยังทำข้อแรกไม่เสร็จเลย   

ในใจคิด ตายละกว่า ต้องปั่น ให้เร็วขึ้น  เลยต้องรีบจบข้อ 1  และตัดสินใจว่าทำข้อไหนต่อไปดี  ระหว่างข้อ 2 กับ ข้อ 3 เลือกไม่ถูกเลย (ยากพอกัน)

เลยเลือก ข้อ 2 มาทำก่อน เด่วจะไม่ได้ทำ ก็ พยามยามทำความเข้าใจคำถาม แต่ มันงง คงเพราะความลนลาน ก็ พยายาม เติม คำตอบ ลงไป ระดับหนึ่ง

จากนั้น ห็ผ่านไปทำข้อสาม ตอน บ่ายสามกว่าๆ   ซึ่งต้องเร่งอย่างมาก  เพราะ นอกจากต้องเขียนคำตอบแล้ว   
อ.แนน ที่น่ารัก ยังให้โจทก์เพิ่มด้วยว่า ต้องทำ ppt และทำคลิปนำเสนอ คำตอบข้อ 1 และ ข้อ 3 ภายใน 8 นาทีอีกด้วย

เราเองก็กลัวว่า จะไม่มีเวลาทำคลิป  และห่วงว่า จะเกิน 8 นาที   พอประมาณ สี่โมง ก็เริ่มลงมือ ทำ ppt และลงมือ อัดคลิป

ปรากฎว่า คลิปแรก พูดนานไปนิด  เวลามันเกิน  ต้องถ่ายใหม่   พอเข้าเทค2 เราก็ต้องพูดให้ กระชับและรัว ขึ้น   เหลือบดู เวลา เทค2 เออ น่าจะทัน พอพูดจบ กำลังจะเลื่อนเม้าส์ ไปกด stop  กลับพบว่า เราลืมกดอัด กรรมของเวรแระ  
หงุดหงิด ตัวเองเล็กน้อย  เลยลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำ และรีเล็กซ์ หน่อยนึง  แล้วมานั่งอัด เทค3 ต่อ
เทคนี่เรียกว่า ต้องได้ ความเร็วในการพูด เรียกว่า ด่วนพิเศษ เลยทีเดียว

พอจบเทค 3 ก็ มาเปิดคลิป ดู ซึ่งใช้เวลาในคลิปไป เจ็ดนาทีหน่อย ๆ   อันนี้ ไม่ตรวจอะไรแล้ว ประกอบกับ ตัดต่อไม่เป็นด้วย   เลย ตัดสินใจส่ง

กำหนดการ ตอนแรก ต้องส่ง ภายใน 17.00 น.  พอเราอัดเสร็จ เวลา ก็ใกล้จะ 16.30 น. รีบสรุปส่งงานดีกว่า

จากนั้นก็ส่งงานในระบบเรียบร้อย  พอส่งเสร็จ อยากจะตะโกน ดัง ๆ ว่า เสร็จแล้วเว้ย  

อยากจะเข้าไปคุย กับ เพื่อน ๆ ร่วมชะตากรรม แต่ ก็กลัว รบกวน เพื่อนที่อาจจะยังทำไม่เสร็จ  เราก็รอ จนใกล้เวลา  ก็ ทักไปในกลุ่ม  อ.แนน แจ้งว่า ขยายเวลาการส่งกระดาษคำตอบไปจนถึง หกโมงเย็น

ไอ้เรา ก็ ไม่ไหวแระ ใจคิด ถึงขยายเวลา เราก็ไม่รู้จะเขียนอะไรแล้ว  ก็ให้กำลังเพื่อนๆ กันไป

สรุป จบการสอบด้วยการ ได้ทำข้อสอบ เราเครียดแค่ 6-7 ชั่วโมง  ตอนนี้ ความเครียดคงไปอยู่ที่ อ. แนน แระ  ว่าจะทำยังไง จะให้คะแนนยังไงดี

และท้ายสุด พวกเราค่อยเครียด ตอนรู้เกรดกันใช่ม่ะ

สรุป ครั้งที่ 2 ประเมินว่า น่าจะอยู่ที่ B ถึง B+ แหละ

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2564

นิยายชีวิตที่ทำงาน ตอนที่ 1 โชคของเขา แต่กรรมของเรา

 วันนี้ มาลองเล่านิยายชีวิต ที่ทำงานกันดีกว่า


ในชีวิตการทำงาน ผมเชื่อว่า ทุกท่านต้องผ่านเจ้านายมาหลายรูปแบบ ทั้งดี ทั้งร้าย   ซึ่งวันก่อนผมเห็นเพื่อนของผมเล่าให้ฟังว่า เขาได้เจอเจ้านายแย่ ๆ อย่างไร  พอผมได้ฟัังแล้ว เลยอยากมาเล่าให้ เพื่อน ฟังต่อนะครับ

เรื่องมีอยู่ว่า

เพื่อนผม ทำงานอยู่หน่วยงานนึง ก็เป็นหน่วยงานราชการทั่วไป   ซึ่งคนที่ทำงานในหน่วยงานก็ทำใจระดับนึงแล้วว่า  หัวหน้าหน่วยที่มาจากการแต่งตั้งของผุ้บริหารระดับสุง นั้น พิจารณา จาก ความเหมาะสม หลาย ๆ ด้าน  ไม่ใช่แค่มองความสามารถอย่างเดียว

     เรื่องมันเริ่มขึ้น เมื่อขึ้นปีงบประมาณใหม่   ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยงานได้ว่างลง และเกิดโพยคนที่จะเป็น ผอ. ท่านใหม่  ซึ่งมีหลายคน  เจ้าเพื่อนผมมันเล่าว่า เมื่อพิจารณาโพย แล้ว หลายคน ก็ มีความสามารถที่ จะปกครองคนในหน่วยงานได้  แต่ มีอยู่ ท่านหนึ่ง  (ขอใช้นามสมมุติว่า   คุณ ดอน. ) เรียกว่ายังไม่มีความรอบด้านในการบริหาร  ถ้าได้เป็น หัวหน้าหน่วยงาน คงเปรียบเสมือนอาหารที่รสชาดไม่สมดุลแน่ๆ (ไม่อูมามิ)  

    แต่สุดท้ายโชคของเขา ก็ เริ่มขึ้น เมื่อปรากฎว่า ผู้บริหารระดับสูง ได้ คัดเลือกให้ คุณ ดอน.   กลายเป็น ผอ.ดอน.  อืมมมม  ตอนนั้นเพื่อนผม ยังไม่รู้ตัวหรอกนะ ว่า กรรมของมัน ได้ เริ่มขึ้นแล้ววววววววว......

    มาลองฟัง บางส่วนของวีรกรรม ที่ เรียกว่า เป็นกรรมของมัน  นะครับ

   1. มีความลำเอียง อย่างสุดโต่ง

             ทุกคนก็รู้ว่า ผู้บริหารทุกท่านย่อมมีลูกน้องคนสนิท  ไอ้ที่จะลำเอียงนิดหน่อย มันจะเเปลกตรงไหนใช่ม่ะ   แต่ขอบอกว่า ผอ ดอน ท่านนี้ สุดขั้วสุดติ่งมาก  หาก เรื่องไหนเกี่ยวข้องกับลูกน้องคนสนิทนั้น ผอ. ดอน แทบจะเป็นคนชี้แจงแทนทั้งหมด   หากทำงานล่าช้า ก็ แทบไม่มีความผิดอะไร เลย  ท่านผอ. ดอน ชี้แจงแก้ไข ให้หมด  และในเรื่องเดียวกันนะ แต่เกี่ยวกับ ลูกน้องคนอื่น   จะบอกว่า ไล่บี้ แทบตาย  ต้องให้ มาชี้แจง ต้องทำให้ได้  

         หรืออย่างในการประชุมไหนที่ท่าน ผอ.ดอน ไม่ได้เข้า  แต่ ทิศทางที่ประชุมเริ่มเป็นที่ไม่ถูกใจของลูกน้องคนสนิท    ลูกน้องคนสนิท จะเดินออกจากที่ประชุมไปสักครู่แล้วจะกลับมาในห้องประชุม พร้อมกัน หรือ ไล่ ๆ กับ ท่าน ผอ. ดอน

        ขนาดการทำงานยังเอียงขนาดนี้ คงไม่ต้องพูดถึงการประเมินเลื่อนเงินเดือนนะ หุ ๆๆๆ


2. เผด็จการการประชุม  

       การประชุมของหน่วยงานประจำเดือนนั้น เพื่อนผมบอกว่ามันน่าจะเรียกว่า การชี้แจงนโยบายประจำเดือนมากกว่า   เพราะในการประชุมมีคนพูดหลักแค่ ท่านเดียว คือท่าน ผอ.    ถ้าประชุม 3 ชั่วโมง  ท่าน ผอ. จะพูดไป สองชั่วโมงครึ่ง กว่า ๆๆ และยังนัดประชุมล่วงหน้าแค่ 2-3 วัน เท่านั้น  ประมาณว่าทุกท่านต้องว่างให้กับท่าน ผอ . เสมอ


3. ขโมยผลงานลูกน้อง (งานดีกรูทำ งานแย่ลูกน้องทำ)

       ความจริงมันก็ไม่ใช่เรืองแปลกหรอก ที่ ผอ. จะไม่รู้ในทุกเรื่อง แต่ เพื่อนมันบอกว่า ทุกครั้งการประชุม ทีม ผอ. ก็จะโยนให้ แต่ละคน คิดงาน  พอเสนอในที่ประชุมก็ติโน่นตินี่   พอผ่านไปสัก สองสามอาทิตย์  ท่าน ผอ.ดอน ก็ มาบอกว่า  ผม คิดออกแล้ว ให้ ทำอย่างนี้อย่างนั้น      ซึ่งที่ ผอ. บอกนั้น มัน คือ ความคิดตรู.....

      นอกจากนี้ พอ เรื่องที่ทำเริ่มเกิดผลกระทบในเชิงลบ  ท่าน ผอ . ดอน ก็ จะบอกว่า  ทำไมไม่เห็นมีใครบอกผม ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย....    

    หรือบางที นะ พูดกับเจ้าหน้าที่ และสั่งให้ทำ แต่ พอมีคนเข้าไปขอพบ เพื่อขอให้แก้ไข   ท่าน ผอ. กลับบอกว่า เจ้าหน้าที่เข้าใจผิดไปเอง ผมไม่ได้สั่งให้ทำแบบนั้น


4 โลเลและหลักลอย    

     "อย่ายึดอะไรกับนโยบาย หรือ คำมั่นที่ ผอ. ดอนให้ เพราะเปลี่ยนแปลงได้เสมอ" เจ้าพื่อนผม มันพูดประมาณนี้เลย ผมถามว่าทำไมล่ะ ไหนเล่ามาสิ  มันก็บอกว่า นโยบาย ผอ เปลี่ยนได้ตลอด ขึ้นอยู่กับว่า มีใครเข้าพบหรือเรียกพบบ้าง  ที่น่ากลัวคือท่านสามารถหาคำสวย ๆ หรู ๆ มาพูดทำให้เกิดความชอบธรรม ดูเหมือนว่าสิ่งที่แกพูดสุดอลัง เลยทีเดียว  แต่หากนั่งตรองดูจะเห็นว่า มีแต่การย้อนแย้งในตัวเอง

    แต่ข้อนี้ ก็ ฟังหูไว้หู นะ ยังไม่ได้ยิน เองสักที


     ฟังได้ ประมาณ 3-4 ประเด็น ผมก็ บอกว่า พอก่อนก็ได้ ค่อยมาเล่าใหม่   แต่ได้บทสรุปที่ ว่า ป็น บุญของเขาที่ได้เป้นผู้บริหารหน่วยงาน  แต่เป็นกรรมของเมิงที่อยู่ในหน่วยงานนั้นพอดี  ทำใจนะ

   แต่โชคดี นะเนี่ย หน่วยงานผมยังไม่ขนาดนี้  และหวังว่า จะไม่เป็น แบบนี้ นะ


จบเรื่องเล่า ตอนที่ 1 ไว้ ว่าง ๆ จะมาลงตอนต่อไป นะ    

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2562

วันที่ทบทวนคุณค่าของชีวิต

วันนี้นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย นั่งหาคุณค่าว่าชีวิตนี้เราอยู่เบื่ออะไร
สิ่งที่เข้ามาในสมองส่วนใหญ่มีแต่กิจกรรมที่เพื่อสังคม อยากจะทำกิจกรรมอะไรที่มันเป็นอิสระการผลตอบแทน ตอนนี้กำลังหาข้อมูลว่าจะจัดตั้งบริษัทเพื่อสังคมอย่างไร

เปิดบริษัทขึ้นมาแล้วทำกิจกรรมเพื่อนำผลกำไรไปคืนสู่สังคม น่าจะดี    (ตามพรบ. วิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562)

งานประจำที่ทำอยู่ตอนนี้ไปๆมาๆเป็นการทำงานเพื่อมุ่งเป้าหมายของใครหรืออะไรสักอย่าง นายดีก็ดีไป นายไม่โอเคก็เป็นปัญหาไป งานดีแต่สังคมไปได้ดีตาม ปัจจัยมันเยอะ

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เมื่อผมเป็นนายแบบ

เมื่อโอกาสผ่านเข้ามาในชีวิต คุณเลือกที่จะมองผ่านหรือมองเห็น เลือกที่จะปล่อยหรือคว้ามัน


เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้รับประสบการณ์ใหม่ในชีวิต โดยได้รับเชิญ จาก หน่วยงานของรัฐหน่วยงาน หนึ่งให้ช่วยไปถ่ายทำ TV scoop ประชาสัมพันธ์ ผลิตภัณฑ์หนึ่งของหน่วยงานนั้น

ในครั้งแรกที่ผมได้รับโทรศัพท์ทาบทามในวันพฤหัส ยอมรับว่าดีใจมาก แบบว่าโชดดีจัง ได้ออกทีวีแล้วเรา  แต่พอเจ้าหน้าที่แจ้งกำหนดการ ว่าถ่ายทำวันจันทร์ (ซึ่งผมมีประชุมงานหนึ่ง ขาดประชุมไม่ได้ด้วย) ก็รู้สึกใจหายเล็กน้อย ยื่นข้อเสนอไปว่า ผมเข้าไปสาย ๆ อาจจะเป็นช่วงบ่าย ได้ไหม เจ้าหน้าที่ก็ไม่ขัดข้อง พร้อมแจ้งว่ามีค่าเดินทางให้ด้วย  (โฮ๊ะๆๆๆ)

หลังได้รับทาบทาม ก็ดีใจนะ  เรียกได้ว่าบ้าเห่อและมีอาการพอควร วันเสาร์ก็รีบไปทำสีผมกลบผมขาว ตัดผมให้เรียบร้อยหน่อย  คริๆๆๆ

 พอถึงวันจันทร์  ผมก็ไปถึง  studio  ประมาณบ่ายสอง ตามที่นัดหมายไว้  พอไปถึง ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับถ่ายทำ ก็ปรากฎว่า ต้องใช่เสื้อสีขาว อ่ะ ซึ่งไม่ได้เตรียมมา (เจ้าหน้าที่ แจ้งไม่ชัดเจน  นะ)  ทำให้ กองถ่ายต้องไปหาเสื้อมาให้ผมก่อน  โดยระหว่างรอ ก็ แต่งหน้าทำผม ไปพลาง

ทำผมและแต่งหน้าเสร็จ ก็เดินไปที่กองถ่าย พบว่ากำลังถ่ายทำอยู่ จึงเห็นว่า มีนักแสดง (เรียกว่าไรน้า เรียกนักแสดงไปก่อนแระกัน) จำนวน 8 คน ระหว่างรอถ่ายแต่ละบท นั้น  คนอื่น ก็นั่งรอ ดูการถ่ายทำไปพลาง

ระหว่างการนั่งรอ ก็สนทนาประสาสะ กับสมาชิก ท่านอื่น ๆ ก็ทราบว่า คนอื่นมาแต่เช้า ช่วงเช้าที่ผ่านมาก็ถ่ายภาพนิ่ง ไปเพิ่งเสร็จ นี่เพิ่งเริ่มถ่ายทำ  โดยเคยนัดถ่ายทำ ไปแล้วเมื่อเดือนก่อน แล้วก็เลื่อนมาถ่ายทำวันนี้   (ผมก้คิดในใจว่า อ้าว เราเป็นตัวสำรองนี่หว่าาาา   เฮ้ออออ  แบบ)

ระหว่างรอ ทำให้ผมได้เห็น บรรยากาศ ของกองถ่าย เป็นครั้งแรก เห็น ผู้กำกับ ผู้ช่วยผู้กำกับ ช่างไฟ ช่างกล้อง  คอสตูม สวัสดิการกองถ่าย  มากมาย เลยทำให้พอเห็นภาพเวลานักแสดงเค้าถ่ายทำกัน

ระหว่างรอดูคนอื่นนี่สิ เริ่มเครียด  ว่าเราจะแสดงได้ไหมนี่  และ แล้ว ผมก็ได้ บท มา   เป็น กระดาษ เอ 4 สอง แผ่น



อ่ะ  ไม่น่าตกใจเท่าไหร่  มี ไฮไลท์ แค่ สองบรรทัด ไม่น่ายาก  แต่นึกในใจ  บทเรา ส. เสือ เยอะจัง แต่ไม่เป็นไร เราคงทำได้ 

 รอไปประมาณ ชั่วโมงกว่า  ก็ได้เสื้อ มา   อิอิ  เอาหล่ะ  เราพร้อมแระสำหรับการถ่ายทำ 
หลังจากได้เสื้อผ้า ก็ผ่านไปเกือบ ๆ ชั่วโมงกว่า ก็ ได้คิวเรา แระ   คิวเเรกที่ได้ ก็เป็นการถ่ายภาพนิ่งครับ ภาพนิ่งนี่ไม่นานนักครับ มีฝีมืออยู่บ้างฝึกมาตั้งแต่สมัยเรียน 55555+ 


ต่อมาอีกครึ่งชั่วโมงก็ได้คิวถ่าย scoop ของเรา แล้ว เย้ ๆๆๆ   แระแล้วพอได้ถ่ายทำก็มีปัญหาเลย   ผู้กำกับบอกว่าพูด ส.เสือ ไม่ชัด    (ฮือ ๆๆๆๆ )  โดนเปลี่ยนบทกลางอากาศ    แต่ไม่เป็นไร  สู้ ๆๆ   สามบรรทัด ของบทแบบสั้น ๆๆ  ผมถ่ายไป ครึ่งชั่วโมง ได้  ผู้กำกับบอกให้ยิ้ม ๆๆๆๆ และพูด ไปพร้อมกัน ยิ้มไว้ ๆๆ




 พอถ่ายทำเสร็จ ช่วงแรก  ผู้กำกับก็บอกให้พักก่อน  และถ่ายคิวของคนอื่น ๆ ต่อ  ตอนนั้นจึงดูเวลา หกโมงกว่าเเล้วหรือนี่   เริ่มหิว แระ กลุ่มนักแสดงที่ยังไม่มีคิว ก็เลยรวมตัวไปหาไรลงท้อง 

ระหว่างการทานข้าวกล่องมื้อค่ำนั้น พี่ ๆ นักแสดงเริ่มบ่นกันว่ามาตั้งแต่เช้า ถึงค่ำ แล้วยังไม่เสร็จ อีก  เฮ้อ  ผมยังเหลือ บทอีก หนึ่งแผ่น บทนี้ ถ่ายเดี่ยว เลย  (ยากกกว่าเดิม)   คนที่ได้บทเดี่ยวมา สามคน ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น  

คิวถ่ายเดี่ยวนั้นผมก็ต้อ ขอคิวเป็นคนสุดท้ายเนื่องจาก มาเข้ากองถ่ายช้ากว่าคนอื่น ก็ต้องทำใจไป  สรุปว่าผมได้คิวตอน ห้าทุ่มครึ่ง ( ไม่ผิดครับ  ดีกมากกกกกก)   

ในการถ่ายเดี่ยว ผมก็พบปัญหา ของผมเอง คือการแสดงอารมณ์  บทไม่ยาว สั้น ๆ  เช่น  "จะทำยังไง" หรือ "คว้ามันเอาไว้" ผมเทคไปเกือบสามสิบสี่สิ้บครั้ง ก็ยังไม่ได้ ดีก ก็ดึก เที่ยงคืนกว่า แระ ไม่ผ่านสักที  จนเกือบจะร้องบอกผู้กำกับว่าทำได้แค่นี้แหละครับ  

ไม่ใช่แค่บทพูดที่ยากนะ   การแสดง แค่ หันหน้า ก็ ยากส์สำหรับผม   ฮือ ๆๆๆ หมุน คอ ไป เกือบร้อยรอบ

ฮือ  สุดท้าย   นาฬิกา ก็หมุนมาที่ 01.20 น. ผู้กำกับก็พูดเสียงสวรรค์  "คัท"   โย่ว ๆๆๆ  เลิกแล้ววววว






สุดท้ายก็เสร็จสิ้นภาระกิจของวัน  เหนื่อยมาก สำหรับวัน นั้น   และเตรียมรอชม กันนะครับ  ทั้งสื่อทีวี สิ่่งพิมพ์  โปร์ชัว นะครับ










วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

วันนี้ที่มีความสุข

วันนี้กลับมาอ่านบันทึกเล็ก ๆ เฮ้อ
การมีใครในชีวิต ก็มีความสุขดีนะ